Storm Coffee Co คือบริษัทกาแฟที่เชี่ยวชาญในการผลิตกาแฟสกัดเย็น (cold brew) ที่ delivery ถึงบ้านคุณ เรามีความศรัทธาในเรื่องของไอเดียแห่งการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และความทะเยอทะยาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่าแก่การดำรงอยู่ เราดีใจที่ได้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงให้ร่างกายและสมองของคุณโลดแล่นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงยามค่ำคืน Storm Cold Brew “ The power of gods ปลุกพลังแห่งเทพเจ้าในตัวคุณ”กาแฟสกัดเย็นที่มีรสชาติกลมกล่อมและดีต่อสุขภาพ ทำให้วันที่ยาวนานของคุณเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์
"ผมได้รับโทรศัพท์กลางดึก รีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าและวิ่งไปที่รถ ผมอาศัยอยู่บ้านที่ห่างจากโรงโม่แค่ 1 กิโลกว่า ผมอยู่บนด้านบนของภูเขาและโรงโม่นั้นอยู่ตรงด้านล่างของหุบเขา เมื่อผมลงมาและมองรอบๆตัวก็เห็นไฟที่ลุกโชติขึ้นไปบนสวรรค์ และผมก็ตระหนักว่าสิ่งที่ติดไฟอยู่นั้นเป็นธุรกิจของผมเอง"
Bob Moore ได้ฟันฝ่าอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสจนพัฒนามาเป็นอาณาจักรของโฮลเกรนที่ชื่อว่า Bob’s Red Mill หนึ่งในธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตอาหารที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ
หลายๆครั้งผู้คนคิดว่าจะต้องสรรหาไอเดียหรือนวัตกรรมที่ใหม่ที่สุดในการที่จะเป็นผู้ประกอบการในยุคนี้ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย Bob’s Red Mill ใช้เทคโนโลยีที่ประดิษฐ์ขึ้นมาในสมัยมนุษย์ยุคหินในการโม่เมล็ดพืชให้เป็นแป้ง และก็ยังเป็นธุรกิจที่หลายๆคนใช้ในการดำรงชีวิตมามากกว่า 10,000 ปีมาแล้ว พูดถึงเรื่องของไอเดียเก่าๆ เขาบดข้าวสาลี ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวฟ่างและอื่นๆอีกมากมายที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นทอง ปัจจุบันนี้ Bob’s Red Mill ทำเงินได้ 3,275,800,000 บาท แต่ที่แน่ๆมันไม่ได้มาง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่เป็นอุปสรรคตลอดระยะทางกว่าจะมาถึงจุดนี้
เมื่อโอกาสมาก็ต้องคว้าไว้
บ็อบได้รับการสั่งสอนตามแบบฉบับของชนชั้นกลางของอเมริกา เขาเริ่มทำงานครั้งแรกตอนอายุ 16 ปีโดยเริ่มจากงานในโกดังสินค้า บ๊อบเข้าร่วมเป็นทหารเป็นเวลา 3 ปี และหลังจากที่เขากลับไปอยู่ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย ที่นั่นเองที่เขาได้พบกับภรรยาและมีลูกด้วยกัน 3 คน เขาทำงานที่บริษัท electric motor company และเขาคิดว่าเขาคงจะทำงานนี้ไปตลอดช่วงชีวิตของเขา แต่แล้วเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝันขณะที่อายุ 49 ปี นั่นเองเป็นจุดผันแปรในชีวิตของเขา
บ๊อบบอกว่า “ฉันกับพ่อเราสองคนวางแผนไว้ว่าจะทำธุรกิจส่วนตัวด้วยกันแต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักที และแล้วในวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังขับรถลง Crenshaw Boulevard ใน Los Angeles และก็มีป้ายเขียนตรงมุมหนึ่งว่า ‘ขายด่วน โมบิลแก๊สสเตชั่น’ และผมก็กดเบอร์โทรศัพท์ลงไปในมือถือและก็โทรไปเพราะว่าผมอยากจะรู้ว่ามันราคาเท่าไหร่ที่จะซื้อปั๊มน้ำมันร้านนี้ ผมไม่คิดว่าผมจะมีเงินพอที่จะซื้อปั๊มนี้หรอก แต่ว่ากลับกลายเป็นว่าราคาที่เค้าตั้งไว้มันช่างสมเหตุสมผลสำหรับผมเหลือเกิน และผมก็เลยตัดสินใจขายบ้านทันทีและก็ได้เงินมา เราจะต้องซื้อปั๊มน้ำมันนี้ให้ได้ และเราก็ทำจนได้
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
ในฐานะที่ผมมีภรรยาและลูกอีก 3 คน ความเสี่ยงทั้งหมดที่มีในตอนนี้ขึ้นอยู่กับปั๊มน้ำมันนี้แล้ว ปั๊มน้ำมันที่อยู่ใน LA นี้ดำเนินไปด้วยดีแต่ว่าผมและภรรยาอยากจะไปอยู่นอกเมืองเราก็เลยขายปั๊มน้ำมันและย้ายไปอยู่เมืองแห่งสกีที่เรียกว่า Mammoth Lakes ครอบครัว Moores เริ่มธุรกิจปั๊มน้ำมันและคิดว่ามันจะเป็นเหมือนกับร้านที่ LA แต่หลังจาก 1ปีที่พวกเขาย้ายไปเปิดร้านใหม่เงินที่มีก็หมดไป Mammoth Lakes เป็นเมืองเล็กๆและที่เมืองนี้ก็มีปั๊มเชลล์ที่ทุกคนในเมืองนั้นใช้บริการอยู่แล้ว
เมื่อเขาหมดสิ้นเนื้อประดาตัว บ๊อบ ภรรยาและลูกๆทั้งสามก็เก็บกระเป๋าและย้ายไปที่ Sacramento รัฐ California ที่ซึ่งบ๊อบได้งานขายของที่ร้าน Sears Roebuck ซึ่งมีของขายตั้งแต่เครื่องตัดหญ้าไปจนถึงน้ำยาทาเล็บ
ชีวิตอันตกต่ำของบ๊อบ
ผู้ที่เป็นสมาชิกองค์กรทางศาสนาที่เขารู้จักมีบ้านพักที่มีฝักบัวที่ใช้ไม่ได้อยู่และบอกว่าครอบครัว Moore สามารถเข้าไปอยู่ได้ฟรี บ๊อบบอกว่า “ ผมจำได้ว่ามันมีครัวที่เล็กมากๆ และชาร์ลีกับผมเอาที่นอนไปวางไว้ในครัวและก็หลับกันตรงพื้นนั้น ส่วนลูกชายผมนอนด้วยกันบนเตียงพับได้และเค็นลูกชายคนโตก็นอนในถุงนอน เราไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของเรา เราอาศัยอยู่โดยความช่วยเหลือของคนอื่นโดยที่ผมมีลูก 3 คน คุณคงจะพอเข้าใจความรู้สึกนะเมื่อคุณตกต่ำถึงที่สุด คุณรู้สึกสิ้นหวังไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนกับเด็กทารกเลยล่ะ”
เมื่อมีความฝันก็ต้องทำฝันนั้นให้เป็นจริง
และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างดูแย่ไปซะหมด บ๊อบได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง หนังสือเล่มนั้นคือ “John Goffe's Mill" เขียนโดย George Woodbury เป็นหนังสือบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการสืบทอดมรดกโรงโม่ของจอร์จที่ใช้เวลา 10 ปีกว่าในการสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง บ๊อบคลั่งอยู่กับไอเดียที่จะเปิดโรงโม่ที่ใช้หินโม่ เขาพูดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพยายามเสาะแสดงหาหินโม่ชิ้นนี้ ในที่สุดเขาก็มีหินโม่นี้ในโรงรถของเขาจนได้
ในช่วงต้นของปี 1970 บ๊อบและภรรยาได้รวบรวมเงินที่เก็บได้เพื่อที่จะเช่าที่แล้วก็เซ็ตอัพโรงโม่เพื่อที่จะเปิดร้านเล็กๆ ร้านอยู่ใน Redding California และถูกเรียกว่า Moore’s Flour Mill
กิจการร้านดำเนินไปด้วยดี บ๊อบลาออกจาก JC Penny และมอบร้าน Moore’s Mill ให้กับลูกชายของเขา
ความแน่นอนคือคว
ใครจะคาดคิดว่ามรสุมครั้งที่แล้วไม่ใช่จุดตกต่ำที่สุดของบ๊อบ
บ๊อบเกษียนตัวเองจากงานแต่เขายังคงหาอะไรทำแก้เบื่อ เขาศึกษาไบเบิลแต่แล้วก็หยุดลงเมื่อเขาเห็นป้ายขายโรงโม่ ชาร์ลีและบ๊อบซื้อมันและตั้งชื่อมันว่า Bob’s Red Mill หลังจากเปิดได้ไม่นานร้านขายของชำก็เข้ามาติดต่อขอสั่งสินค้าของเขา ขณะนั้นอยู่ในช่วงกลางปี 1970 อาหารเพื่อสุขภาพกำลังได้รับความนิยม ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปเป็นเวลา 10 กว่าปีจนกระทั่งในปี 1988 เมื่อไฟได้เผาไหม้ธุรกิจของเขาไปจนหมดสิ้น
ตอนนี้บ๊อบคิดที่จะปิดและถอนตัวจากร้านแต่เขาได้ยินพนักงานบางคนพูดกันว่าเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรหากโรงโม่นี้ถูกปิดตัวลง พวกเขาเพิ่งจะกู้เงินซื้อบ้านไปและก็ต้องการงาน ชาร์ลีและบ๊อบรู้ทันทีว่าเขาต้องพยายามทำให้โรงโม่อยู่รอดให้ได้
หลังจากที่โรงโม่ถูกเผาบ๊อบและชาร์ลีพยายามต่อสู้เพื่อที่จะผลิตสินค้า ในช่วงเวลาที่หลายๆธุรกิจได้ปิดตัวลง บ๊อบไปที่งานแสดงสินค้าที่เป็นสินค้าออร์แกนิค ที่ซึ่งร้านค้าต่างๆมาโชว์สินค้าและหวังว่าจะมีร้านใหญ่ๆมาติดต่อไปขายในห้างของเขา และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Bob’s Red Mill เพราะหลังจากที่เขาเกือบจะสูญเสียธุรกิจมันกลับกลายเป็นว่าธุรกิจของเขาเติบโตขึ้นทุกคืนๆมากกว่าที่เคยเป็นมา ในปี 2007 ยอดขายของร้านอยู่ที่ 1,638,825,000 บาทต่อปี และวันนี้ยอดขายของธุรกิจนี้นำมาซึ่งเงินจำนวน 3,275,800,000 ต่อปี!
พวกเขาผลิตสินค้ามากกว่า 400 แบบและก็ยังคงใช้เครื่องโม่แบบหินเก่าๆจากปี 1800 บ๊อบเก็บสินค้าอย่างแรกที่เขาผลิตขึ้นในขวดโหล mason jar เป็นสินค้าที่เค้าได้มาจากหินก้อนนั้น แป้งสีแดงที่มาจากเมล็ดข้าวสาลีที่โม่จากหินต้นกำเนิดที่เขาใช้เมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา
コメント