จากกระเป๋าถือที่ทำมาจากกระสอบใส่มันฝรั่งจนกลายมาเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมชื่อดังที่มีมูลค่าธุรกิจสูงถึง 2.4 บิลเลียนดอลล่าร์ (78,120 ล้านบาท!) กว่าจะมาถึงจุดนี้มันไม่ง่ายเลย...............
Storm Coffee Co คือบริษัทกาแฟที่เชี่ยวชาญในการผลิตกาแฟสกัดเย็น (cold brew) ที่ delivery ถึงบ้านคุณ เรามีความศรัทธาในเรื่องของไอเดียแห่งการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และความทะเยอทะยาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่าแก่การดำรงอยู่ เราดีใจที่ได้เป็นเหมือนเชื้อเพลิงให้ร่างกายและสมองของคุณโลดแล่นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงยามค่ำคืน Storm Cold Brew “ The power of gods ปลุกพลังแห่งเทพเจ้าในตัวคุณ”กาแฟสกัดเย็นที่มีรสชาติกลมกล่อมและดีต่อสุขภาพ ทำให้วันที่ยาวนานของคุณเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์
Kate Spade : เรายังทำเงินไม่ได้ ไม่มีใครได้เงินเดือนเลย แอนดี้เอาเงินที่หาได้มาจ่ายทุกอย่าง ชั้นเพิ่งจำได้ว่าชั้นกำลังคิด ชั้นคิดว่าเราควรจะล้มเลิกมันซะ ฉันพูด มัน.......
ANDY SPADE: เคทและแอนดี้เอาเงินสำหรับเกษียณและเงินเก็บทั้งหมดมาใช้ พวกเขายังไม่เห็นความก้าวหน้าในธุรกิจเลย ปีหน้าก็ยังไม่มีเงินที่จะจ่ายเงินให้เดือนตัวเองได้เลย “เราสนุกกับมันมาพอควรแล้ว เราควรจะพอได้แล้วล่ะ”
เส้นทางที่นำ Kate เข้าสู่สายงานแฟชั่น
ขอต้อนรับเข้าสู่ today’s show เรามาดูกันว่าเด็กชาว Midwestern ที่ชื่อ Kate Brosnahan ผู้ที่นำเอากระสอบมันฝรั่งมาเย็บเป็นกระเป๋าถือและก็เปิดตัวอย่างโดดเด่นในชื่อแบรนด์ว่า Kate Spade
เคทชื่นชอบแฟชั่นมาโดยตลอดแต่เธอก็ไม่เคยวางแผนที่จะทำงานทางด้านแฟชั่นเลย เธอกลับต้องการที่จะเป็นนักข่าว ดังนั้นในช่วงต้นของปี 1980 เธอหันไปเรียนเพื่อเป็นนักข่าวที่มหาวิทยาลัย Arizona State University และที่นั่นเองที่เคทได้พบกับสามีในอนาคตของเธอ Andy Spade
Kate SPADE: เราทำงานด้วยกันที่ร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง และชั้นเป็นพนักงานขายเสื้อผู้หญิงส่วนเขาเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าผูชาย มีอยู่วันหนึ่งที่รถของเขาเสีย (หัวเราะ) และเขาก็ขอติดรถชั้นกลับบ้านและเราก็เริ่มต้นกันแบบเพื่อนคนหนึ่งจริงๆนะ
ANDY SPADE: และรถผมก็เสียตลอดตั้งแต่นั้นมาเลยครับ ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ของเราเรื่อยมาเลยล่ะครับ
30 ปีหลังจากนั้น ทั้งสองคนยังคงอยู่ด้วยกัน เคทเรียนจบจากมหาลัยก่อนและตัดสินใจที่จะแพ็คกระเป๋าเที่ยวไปในยุโรปในขณะที่แอนดี้กำลังจะเรียนให้จบ เคทย้ายไปนิวยอร์กและได้งานพิเศษที่ร้าน Conde Nast เป็นบริษัทขนาดใหญ่เกี่ยวกับสื่อแฟชั่น โดยเธอทำงานในแผนกการถ่ายแฟชั่นและสไตล์ลิ่ง
แต่งานของเธอจริงๆคือผูกเชือกรองเท้าให้นางแบบเพื่อที่จะถ่ายแฟชั่นเพราะว่าชุดที่พวกเธอใส่ทำให้ไม่สามารถที่จะก้มตัวต่ำๆได้ ไม่ก็วิ่งไปซื้อสนิกเกอร์ให้ช่างผม รีดเสื้อผ้า ขนกระเป๋า เอาเป็นว่าเธอทำงานทุกอย่างตามที่หัวหน้าเธอสั่งประมาณนั้นแหละ
ในขณะเดียวกันแอนดี้ยังคงอยู่ในอริโซนาและกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเรียนให้จบ ในระหว่างนั้นเขาก็ได้เริ่มต้นเป็นเอเจนซี่ทางด้านโฆษณา งานที่เค้าแทบจะทำให้ฟรีเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหารเท่านั้น
แผนของเขาคือต้องการให้เคทย้ายกลับมาอยู่ที่อริโซนาแต่ว่าเธอตกหลุมรักนิวยอร์กและก็ได้งานทำถาวรซะแล้ว แอนดี้หมดหนทางก็เลยต้องแพ็คกระเป๋าตามเคทไปนิวยอร์ก แอนดี้ได้งานทำอย่างรวดเร็ว เขาได้ทำงานให้กับบริษัทโฆษณาส่วนเคทก็ทำงานให้กับหนังสือนิตยสาร Mademoiselleในฐานะผู้ช่วยบรรณาธิการระดับอาวุโสและเธอก็ได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในกลุ่มของบรรณาธิการที่ที่เธอรับผิดชอบในเรื่องการเลือกเครื่องประดับทั้งหมด และที่นิตยสาร Mademoiselleนี่เองที่เธอได้เรียนรู้คำว่า “ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ”
ฉันหมายถึงพวกเราจะต้องไปถ่ายแฟชั่นที่ Bahamas ในอีก 2 วันและเราต้องการตั๋ว 8 ใบ ชั้นต้องคิดหาหนทางว่าจะทำยังไงให้พวกเราไปที่นั่นได้ เพราะว่าทุกคนต้องไปไฟลท์เดียวกัน มันไม่ยากหรอกถ้าไม่ต้องจำกัดว่าพวกเราต้องไปไฟลท์เดียวกันหมด และในที่สุดชั้นก็ทำให้มันเกิดขึ้นได้”
จุดพลิกผันของชีวิตกับการเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตัวเอง
ในปี 1991 เคทได้ลาออกจากงานที่สำนักพิมพ์นิตยสาร Mademoiselle ในขณะที่การงานของเธอกำลังก้าวหน้ามากๆ เธอสามารถก้าวไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของบริษัทได้ในเร็ววันด้วย แต่เธอไม่เห็นตัวเองมีความสุขกับตำแหน่งนั้น เธอก็เลยตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นในคืนหนึ่งที่ร้านอาหารเม็กซิกัน แอนดี้พูดว่า“แล้วกระเป๋าแฮนแบ็คล่ะ
เคทตอบ : “ที่รัก มันไม่ใช่แค่การเปิดบริษัทแล้วจบนะ”
“ทำไมอะ มันจะยากแค่ไหนกันเชียว”
จากที่เห็นมันยากมากๆเลย แต่แอนดี้ให้ความเชื่อมั่นกับเคทให้ลองดู เคทรู้เกี่ยวกับธุรกิจนี้และก็รู้เทรนด์แฟชั่นเป็นอย่างดี แอนดี้ถามเคทว่ากระเป๋าแบบไหนที่ยังไม่มีในตลาดตอนนี้
เคทพูด : “ในตอนนั้นกระเป๋าที่มีอยู่ในท้องตลาดมันมีรายละเอียดเยอะไปหมด และชั้นก็ชอบสไตล์ที่ดูธรรมดาๆ รูปทรงเป็นเหลี่ยมเป็นมุมเหมือนสถาปัตยกรรม และชั้นก็มักจะใช้กะเป๋าที่มีดีไซน์เรียบๆ ไม่ใช่ของดีไซน์เนอร์ดังๆ ชั้นหมายถึงว่าไม่มีแบรนด์น่ะค่ะ ถ้ามีคนุถามว่าชั้นหิ้วกระเป๋าของใคร ชั้นก็จะตอบว่าชั้นไม่รู้หรอก ชั้นซื้อมาจากร้านวินเทจ มันเป็นกระเป๋าสานที่ชั้นได้มาจากเม็กซิโก
มันก็จะเป็นสี่เหลี่ยมมากๆและก็เรียบๆน่ะค่ะ และชั้นก็แบบทำไมมันช่างยากเหลือเกินที่จะหากระเป๋าเรียบๆที่ดูสะอาดและโมเดิร์น
เคทลาออกจากงานและเธอก็คิดว่า “ ทำไมชั้นไม่อยู่ต่อนะ ชั้นก็จะมีรายได้อยู่ในขณะที่เริ่มต้นธุรกิจกระเป๋านี้ แต่ก็มีคนบอกชั้นว่าเธอคงทำกระเป๋าไม่สำเร็จหรอกถ้าเธอไม่ออกจากงานเพราะว่าเธอคงจะไม่ต่อสู้เพื่อธุรกิจนี้มากเท่านี้ ชั้นหมายถึงคุณรู้ใช่มั้ย มันเป็นประมาณว่าไม่รอดก็ตาย”
ดังนั้นชั้นคิดว่าถ้าชั้นยังทำงานที่เดิมอยู่ ชั้นอาจจะแบบว่าทำธุรกิจกระเป๋าแบบสบายๆ ไม่ทุ่มสุดตัวขนาดนี้ เพราะเมื่อคุณไม่มีรายได้ตรงอื่น คุณก็ไม่มีทางเลือกแค่ต้องทำให้ได้
กว่าจะมาเป็นกระเป๋า 1 ใบ
เคทไม่มีประสบการณ์โดยตรงในการเย็บผ้า เธอก็เลยออกแบบกระเป๋าของเธอโดยตัดแบบออกมาจากกระดาษและก็ใช้เทปกาวติดเป็นกระเป๋า แล้วเธอก็จ้างช่างเย็บผ้าคนหนึ่งให้ทำแพทเทิร์นให้ในอพาร์ทเม้นท์ของเธอ
จากแพทเทิร์นที่มี เคทและแอนดี้ต้องหาบริษัทที่รับผลิตสินค้าในจำนวนน้อยแค่ 10 ใบให้ได้ ซึ่งพวกเค้าหาแทบพลิกแผ่นดินเลยเพราะไม่มีใครยอมทำสินค้าที่สั่งน้อยๆแบบนี้ แต่ในที่สุดพวกเค้าก็หาเจอจนได้และก็มันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เริ่มจากการร่างแบบไปสู่สินค้าที่พร้อมออกตลาดซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 1 ปีเต็ม
ปัญหาต่อมาคือเรื่องของผ้าเพราะว่าที่ร้านขายผ้าเค้าขายกันขั้นต่ำที่ 100 เมตรแต่เคทกับแอนดี้ต้องการใช้แค่ 20-25 เมตรเท่านั้น ถ้าต้องซื้อถ้าถึง 100 เมตรมันก็ทำให้การเริ่มธุรกิจนี้ใช้เงินมากเกินงบที่พวกเค้าตั้งไว้ เคทใช้สมองอย่างมากเพื่อหาทางออกกับเรื่องนี้และเธอก็ได้ไอเดียดีๆ นั่นคือเธอจะใช้กระสอบที่ใส่มันฝรั่งมาตัดกระเป๋า! เธอโทรไปหาบริษัทที่ผลิตกระสอบใส่มันฝรั่งและถามหากระสอบที่มีน้ำหนักมากที่สุด และเธอก็ได้มันมา กระเป๋าชิ้นแรกของ Kate Spade ก็เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเรียบๆที่ทำมาจากกระสอบมันฝรั่ง
เส้นทางผู้ประกอบการไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ
ตอนนี้หลังจากที่ผลิตกระเป๋าสำเร็จแล้วเราก็ไปออกบู๊ทขายสินค้าเพื่อที่จะหาคนซื้อ หลังจากงานแสดงสินค้าแอนดี้ก็ถามเคทว่าที่งานเป็นยังไงบ้างและเคทก็จำได้ว่า “ชั้นร้องไห้ใหญ่เลยหลังจากที่ถึงบ้าน เราขายได้ไม่มากพอที่จะจ่ายค่าบู๊ทในการออกร้านด้วยซ้ำ และชั้นก็ร้องไห้ไม่หยุดและแอนดี้ก็บอกว่า โอเคเธอขายใครไปบ้าง และชั้นก็ตอบว่า เราขายให้กับร้าน Barney’s และแอนดี้ก็บอกโอเค และชั้นก็บอกต่อว่าร้าน Fred Segal ใน LAและเค้าก็บอกว่า เอ่อ เธอได้ขายกระเป๋าให้กับร้านที่ดีที่สุดในอเมริกาเลยนะนั่นน่ะแล้วทำไมต้องมานั่งร้องไห้ด้วย?ชั้นบอกว่า เราควรเลิกทำธุรกิจนี้แล้วล่ะ
แม้ว่าเคทอยากจะปิดบริษัทแบรนด์นิวนี้มากๆแต่ว่าแอนดี้ก็พูดโน้มน้าวเธอให้ทำต่อ แม้ว่าพวกเค้าจะขายกระเป๋าไม่ได้มากแต่ว่ากระเป๋าของ Kate Spade ก็มีโชว์อยู่ในแมกกาซีนหลายๆเล่ม โดยพวกเขาเขียนถึงกระเป๋าของเธอในแง่ที่มันเป็นอะไรที่แตกต่างไปจากกระเป๋าของแบรนด์อื่นๆ และบรรณาธิการนิตยสารก็ต้องการอะไรที่แปลกใหม่แบบนี้ในหนังสือของพวกเขา
แม้ว่ากระเป๋า Kate Spade จะตั้งโชว์อยู่บนชั้นในร้าน Barney’s และ Fred Segal มันก็ไม่ใช่ว่าเคทกับแอนดี้จะอยู่แบบคนรวยในนิวยอร์ก แอนดี้ยังคงทำงานประจำทางด้านโฆษณาและเคทก็ทำงานฟรีแลนซ์ขณะที่ทำกระเป๋า Kate Spadeไปด้วย พวกเขาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์และก็ทำธุรกิจอยู่ในบ้านนั้นแหละ แอนดี้จำได้ว่า “ พวกเรามีกล่องเยอะมาก จริงๆนะมันเต็มไปหมดเลยและก็สูงจนถึงเตียงสองชั้นของเราเลย ทั้งอพาร์ทเม้นท์เต็มไปด้วยกล่องสีน้ำตาลเหมือนทะเลเลย แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าธุรกิจของเราไปได้สวย แต่........
พวกเราส่งสินค้าทุกอย่างจากอพาร์ทเม้นท์ และเคทก็นั่งรถไฟไปที่บรู๊คลินเพื่อที่จะไปที่โรงงานเพื่อไปซื้อกล่อง แล้วก็แบกถุงขยะที่เต็มไปด้วยกล่องกลับมาทางรถไฟใต้ดิน จากนั้นก็ขนขึ้นชั้น 5 และเธอก็ส่งสินค้า แพ็คสินค้าและก็ทำทุกอย่างและก็รับออเดอร์สินค้าทางแฟกซ์กลางดึก
หลังจาก 4 ปีที่เปิดธุรกิจกระเป๋าพวกเขาก็จ่ายเงินให้ตัวเองจำนวน 450,000 บาท และก็ยังคงใช้อพาร์ทเม้นท์เป็นที่ทำงานอยู่เหมือนเดิม ตอนนี้อะไรต่ออะไรเริ่มยุ่งเกินกว่าที่ทั้งสองคนจะทำได้ดังนั้นพวกเขาก็เลยเริ่มรับหุ้นส่วนเพิ่ม 2 คนแต่เป็นหุ้นส่วนที่ใช้แรงงานไม่ได้ลงเงิน คนแรกคือ Elyce Arons เพื่อนของเคทตอนอายุ 18 ละก็ Pamela Bell คนที่เธอเพิ่งรู้จักซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีในนิวยอร์ก
ธุรกิจ Kate Spade ยังคงได้รับเงินทุนสนับสนุนจากแอนดี้ผู้ซึ่งได้รับการเสนองานใน LAซึ่งให้เดือนเงินเขาเป็น 3 เท่าของงานเก่า แอนดี้บอกว่า “ผมเช่าบ้านเล็กๆใน LA ผมเรียกมันว่าบ้านแต่ผมไม่เคยใช้มันเหมือนบ้านหรอก ผมไม่เคยซื้อเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นเดียว ผมแค่มาหาเงินใน LAแล้วก็ส่งไป คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมส่งไปหล่อเลี้ยงธุรกิจน่ะครับ”
เมื่อจุดตกต่ำที่สุดเราก็แค่ยอมแพ้หรือไม่ก็สู้ให้ถึงที่สุด
มันคือช่วงนี้แหละที่เคทรู้สึกว่าควรจะล้มเลิกธุรกิจซะ
เคทจำได้ว่าเรียกอีลิเซและพาเมล่ามาคุย “และชั้นพูด ชั้นคิดว่าเราควรปิดบริษัทลง ชั้นหมายถึงเรายังคงทำเงินไม่ได้ ไม่มีใครได้เงินเดือนเลย แอนดี้ซัพพอร์ทค่าใช้จ่ายทุกอย่างของธุรกิจ และ ณ จุดนี้พวกเราก็เอาเงินลงขันกัน พาเมล่าก็ลงเงิน เอลิเซ่ด้วย และชั้นก็คิดว่า โอ้ อีกแล้วหรอเนี่ย”
เคทและแอนดี้เอาเงินสำหรับเกษียณและเงินเก็บทั้งหมดมาใช้ พวกเขายังไม่เห็นความก้าวหน้าในธุรกิจเลยว่าจะจ่ายเงินเดือนตัวเองได้ยังไงในปีหน้า เคทและแอนดี้้บอกเพื่อนร่วมงานของเขา “ เราคิดว่าพวกเราควรจะพอกันได้แล้วเพราะว่าเราเหนื่อยสายตัวแทบขาด” แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ธุรกิจพลิกผันคือในที่สุดก็มีร้านค้าหลายๆร้านที่เริ่มซื้อกระเป๋าของพวกเขาเพราะพวกเขาชนะรางวัลจาก the Council of Fashion Designers of America ซึ่งนักข่าวจากทั่วทั้งประเทศไม่ใช่แค่นิวยอร์กก็มางานนี้กันหมด หลังจากที่ Neiman’s และ Saks บอกว่า “ เราต้องการซื้อกระเป๋าของคุณเข้าร้านทุกสาขาของเรา ออเดอร์ที่ได้นี้มันมากเป็น 4 เท่าของธุรกิจ Kate Spadeที่เคยทำกันมาเลยทีเดียว
ตอนนี้กระเป๋าแบรนด์ Kate Spade ก็วางอยู่บนชั้นโชว์ทั่วโลก
หลังจากนั้น Neiman Marcus ก็ได้ซื้อหุ้น Kate Spadeไป 56% ซึ่งเป็นมูลค่ากว่า 30ล้านดอลล่าร์ (900 ล้านบาท) และในปี 2007 เคทและแอนดี้ก็ขายส่วนที่เหลืออีก 46%ไปตอนนี้แบรนด์ Kate Spade มีมูลค่าประมาณ 2.4 บิลเลียนดอลล่าร์!
มันน่าทึ่งจริงๆและก็เป็นเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจเพราะไม่ว่าจะผ่านอุปสรรคมามากแค่ไหน ถ้าคุณมุ่งมั่นมากพอผลลัพธ์ที่ได้ก็นำไปสู่ความสำเร็จจ เราหวังว่าคุณจะพบกับสิ่งที่คุณคลั่งไคล้หลงใหลและไล่ตามความฝันของคุณผ่านความสงบและช่วงเวลาแห่งพายุของท้องทะเล
Comments